ประวัติ ของเมืองนครศรีธรรมราช
จากการขุดค้นและโบราณสถานโบราณวัตถุต่างๆ สามารถย้อนไปได้ถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์
นับพันหมื่นปี
จนกระทั่งเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานบันทึกปรากฏชื่อเป็นที่รู้จัก
ในหมู่นักเดินเรือ และพ่อค้าชาวอินเดีย อาหรับและจีน ในชื่อว่า ตามพรลิงค์ บ้าง
กะมะลิง บ้าง ตั้งมาหลิ่ง บ้าง ตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 600-700
และชุมชนนครศรีธรรมราชได้พัฒนาจนเป็นชุมชนใหญ่
รับอิทธิพลศาสนาพราหมณ์จากอินเดียตลอดแนวชายฝั่ง
ตั้งแต่เขตสิชลจนถึงเขตตำบลท่าเรือของอำเภอเมืองในปัจจุบัน
มีโบราณสถานหลงเหลืออยู่มากมาย โดยเฉพาะที่บริเวณ อุทยานประวัติศาสตร์เขาคาและเขตอำเภอสิชลซึ่งได้ค้นพบเทวรูปพระวิษณุศิลา
ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในเอเซียอาคเนย์คือประมาณพุทธศตวรรษที่ 9-10
กับยังพบศิลาจารึกขนาดใหญ่ ที่เก่าแก่ที่สุดหลักหนึ่งของประเทศไทย
คือมีอายุครั้งพุทธศตวรรษที่ 11 ณ หุบเขาช่องคอย อำเภอร่อนพิบูลย์
มีข้อความบูชาพระศิวะและเชิดชูคนดีว่า
"ถ้าคนดีอยู่ในหมู่บ้านของชนเหล่าใดความสุขและผล(ประโยชน์)
จักมีแก่ชนเหล่านั้น" อีกด้วย
หลังพุทธศตวรรษที่ 10
เริ่มพบร่องรอยพุทธศาสนาในนครศรีธรรมราช และเชื่อว่านครศรีธรรมราชพัฒนาจนเป็นศูนย์กลาง
ของอาณาจักรศรีวิชัย ดังปรากฏหลักฐานบน ศิลาจารึกหลักที่ 23
วัดเสมาเมืองที่ จารึกไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 1318 ว่า
"พระเจ้ากรุงศรีวิชัยผู้ประกอบด้วยคุณความดีและเป็นเจ้าแห่งพระราชาทั้งหลาย
ในโลกทั้งปวงได้ทรงสร้างปราสาทอิฐทั้งสามนี้ เป็นที่บูชาพระโพธิสัตว์เจ้าผู้ถือดอกบัว
(คือปทุมปาณี) พระผู้ผจญพระยามาร (คือพระพุทธเจ้า) และพระโพธิสัตว์เจ้าผู้ถือวัชระ
(คือวชรปาณี) พระองค์ได้ถวายปราสาททั้งสามนี้แก่บรรดา
พระชินราชอันประเสริฐสุดซึ่งสถิตอยู่ในทศทิศ ณ สถานที่แห่งนี้
"ร่วมกับศิลจารึกอีกหลายหลัก เช่น ศิลาจารึกหลักที่ 29 วัดพระบรมธาตุเมืองนคร
ภาษาทมิฬ พุทธศตวรรษที่ 9-10, ศิลาจารึกหลักที่ 28
วัดพระบรมธาตุเมืองนคร ภาษา มอญโบราณ พุทธศตวรรษที่ 12
และศิลาจารึกหลักที่ 27 วัดมเหยงค์ ภาษาสันสกฤตอักษรคล้ายเขมร
พุทธศตวรรษที่ 12-14 ที่จารึกไว้ว่า "...บุญกุศลอื่นๆ
ตามคำสอนคือการปฏิบัติพระธรรมไม่ขาดสักเวลา การบริบาลประชาราษฎร์
การทนต่ออิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ การชำนะอินทรีย์..." นอกจากนี้ยังมีหลักฐานจากจดหมายเหตุพงศาวดารของชนชาติต่างๆ
ซึ่งเรียกชื่อนครศรีธรรมราชต่างๆ กันไปดังนี้ ตามพลิงคม,ตามพรลิงค,
มาหมาลิงคม, ตั้งมาหลิ่ง, ตันมาลิง,
ตมลิงคาม, ตามพรลิงเกศวร, ตามโพลิงเกศวร,
โฮลิง, โพลิง, เชียะโท้ว, โลแค็ก,
ลิกอร์, ละคอน,คิวคูตอน,สิริธรรมนคร,
ศรีธรรมราช, สุวรรณปุระ,ปาฏลีบุตร,
ชิหลีโฟซี, ชวกะ, ซาบัก
ช่วงที่นครศรีธรรมราชมั่นคงที่สุดในประวัติศาสตร์คือในพุทธศตวรรษที่ 17-19
อันเป็นรัชสมัยของราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช
ซึ่งได้สถาปนาพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ลงในนครศรีธรรมราชอย่างมั่นคง
ก่อนที่จะแผ่ขยายไปยังดินแดนของแหลมทอง นครศรีธรรมราชครั้งนั้นกว้างขวาง
มีเมืองขึ้นรายรอบ 12 เมือง เรียกว่า เมืองสิบสองนักษัตรตั้งแต่
ชุมพรลงไปถึงเมืองปาหัง กลันตันและไทรบุรี
กับนครศรีธรรมราชยังเคยกรีฑาทัพเรือที่มีแสนยานุภาพไปตีลังกาถึง 2
ครั้ง นอกจากนี้ยังพบร่องรอยความสัมพันธ์และยกทัพสู้รบระหว่างกันของนครศรีธรรมราช
กับเขมรโบราณ ละโว้ ตลอดจนชวาโบราณอีกด้วย
หลัง จากพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา นครศรีธรรมราชเข้ารวมอยู่ในราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยตลอดมาจน
อยุธยาและรัตนโกสินทร์ ทั้งในฐานะเมืองประเทศราช
เมืองพระยามหานครและหัวเมืองเอกเป็นหลักเมืองเดียวของไทยทางภาคใต้ตลอดมา
เป็นแหล่งวิทยาการความรู้ ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาและการค้าขายต่างชาติทั้งกับจีน
อินเดีย และชาวยุโรป
และเมื่อใดที่เกิดเหตุการณ์ระส่ำระสายในราชธานีนครศรีธรรมราชก็จะมีบทบาท
แข็งขันขึ้นมา เช่น ครั้งผลัดเปลี่ยนแผ่นดินพระเจ้าอาทิตยวงศ์ผู้เยาว์เมื่อ พ.ศ. 2172
ซึ่งพระยากลาโหมสุริยวงศ์ต้องการขึ้นครองราชแทน โดยวางแผนกำจัดออกยาเสนาภิมุข
(ยามาดา)เจ้า กรมอาสาญี่ปุ่นผู้มีอำนาจมากในกรุงศรีอยุธยาในเวลานั้น
ให้ออกไปเสียจากกรุงศรีอยุธยา ขณะที่นครศรีธรรมราช
ซึ่งกบฏเพราะเห็นความวุ่นวายในกรุง
จึงถูกกำหนดมอบหมายให้ออกญาเสนาภิมุขยกทัพไปปราบสำเร็จ
แต่ออกญาเสนาภิมุขก็เสียที่กบฏที่ปัตตานีบาดเจ็บ แล้วถูกยาพิษของพระยามะริด
ที่ออกมาช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราชถึงแก่กรรมลงพร้อมกับพระยากลาโหมสุริย
วงศ์ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น พระเจ้าปราสาททอง นครศรีธรรมราชจึงกบฏตั้งตนเป็นอิสระอีก
แต่ก็ถูกปราบลงด้วยทัพของกรุงศรีอยุธยาอีกคำรบหนึ่ง
ครั้ง ต่อมา ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ซึ่งศรีปราชญ์กวีเอกในสมัยนั้น ก็ถูกเนรเทศมาจบชีวิตที่นครศรีธรรมราช
ครั้นสิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2227
พระเพทราชาปราบดาภิเษกขึ้นครองราช
เมืองนครศรีธรรมราชเป็นกบฏอีกครั้งซึ่งกว่าจะตีแตกต้องรบพุ่งกันอยู่นานถึง 3 ปี
จากนั้นนครศรีธรรมราชได้มีสัมพันธภาพที่ดีกับกรุงศรีอยุธยาช่วงสั้นๆ
ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์
มีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระบรมธาตุมากมายทั้งองค์พระบรมธาตุ เจดีย์
ลายปูนปั้นพระมหาภิเนกษกรรมและพระวิหารหลวง
แต่พอสิ้นรัชกาลกรุงศรีอยุธยาก็ระส่ำระสายกระทั่งเสียกรุงครั้งที่ 2
พ.ศ. 2310 พระปลัดหนูเมืองนครศรีธรรมราช
จึงรวบรวมผู้คนตั้งตัวเป็นชุมชุมเจ้านครศรีธรรมราช
แล้วรบพุ่งแพ้ต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งทรงมีพระราชดำริว่า
เจ้านครไม่มีความผิดที่ได้รบพุ่งกันก็เพราะต่างคนต่างถือตัวเป็นใหญ่ หลังกรุงแตก
ไม่ทรงลงความเห็นว่าเจ้านครเป็นขบถ ทรงให้กลับออกไปครองเมืองนครศรีธรรมราชอีก
เป็นพระเจ้าขัติยราชนิคม สมมติมไหศวรรย์ พระเจ้านครศรีธรรมราช เจ้าขัณฑสีมา
มีเกียรติเสมอเจ้าประเทศราช ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชวิจารณ์ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงปรารภเรื่องสืบสันตติวงศ์โดยให้กรมขุนอินทรพิทักษ์
ลูกเธอองค์หนึ่งครองกรุงกัมพูชา
ให้เจ้าทัศพงศ์ลูกเธอองค์หนึ่งซึ่งภายหลังเป็นพระพงศ์นรินทร์
ซึ่งเป็นหลานเจ้านครครองเมืองนครศรีธรรมราช
ส่วนกรุงธนบุรีนั้นจะมอบราชสมบัติประทานเจ้าฟ้าสุพันธุวงศ์
ที่เรียกว่าเจ้าฟ้าเหม็น ด้วยเป็นพระราชนัดดาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
จึงตั้งเมืองนครศรีธรรมราชเป็นเมืองประเทศราชไว้
ใน ตอนต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ นครศรีธรรมราชนอกจากจะเป็นแหล่งศิลปวิทยาการ
ตลอดจนแบบแผนประเพณี และพระไตรปิฏกซึ่งกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ต้องคัดลอก
เพราะของเดิมที่กรุงศรีอยุธยา ถูกพม่าทำลายเสียหายมากแล้ว นครศรีธรรมราชภายใต้การปกครองของเจ้านครนับแต่เจ้านครหนู,
เจ้านครพัฒน์, เจ้านครน้อย ยังเจริญก้าวหน้า
ปกครองหัวเมืองภาคใต้ตลอดจนมลายูสงบราบคาบกับยังเป็นสถานีค้าขายที่สำคัญของ
ชาติตะวันตกอีกด้วย
ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์จักรีกับสายเจ้านครก็ผูกพันแน่นแฟ้น เช่น
คุณหญิงนุ้ยใหญ่ บุตรีเจ้าพระยานครพัฒน์ ถวายทำราชการในพระราชวังหลวงในรัชกาลที่ 1
มีพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าอรุโณทัย ได้เป็นกรมหมื่นศักดิพลเสพในรัชกาลที่ 2,
และเป็นกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพในรัชกาลที่ 3
ท่านผู้หญิงอิน ภรรยาเจ้าพระยานครน้อยเป็นราชนิกูลตระกูล ณ บางช้าง
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเรียกว่าพี่อิน และบุตรีของเจ้าพระยา
นครน้อยกับท่านผู้หญิงอิน 2
คนก็ได้ถวายเป็นเจ้าจอมมารดาน้อยใหญ่และเจ้าจอมมารดาน้อยเล็กในรัชกาลที่ 3
ต่อ มาในรัชกาลที่ 5 ทรงให้มีการปกครองแบบเทศาภิบาล
เจ้าพระยานครน้อยกลางจึงลดอำนาจลง ทรงให้พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม)
มาเป็นข้าหลวงเทศาภิบาล มณฑลนครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. 2439 นครศรีธรรมราช
จึงลดฐานะลงมาตามลำดับ และเป็นที่หนึ่งใน 73 จังหวัดในที่สุด
โดยครั้งหนึ่งในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์
มาดำรงตำแหน่งอุปราชปักต์ใต้ ประทับ ณ วังโพธิยายรด จังหวัดนครศรีธรรมราช
(รพ.มหาราชนครศรีธรรมราชปัจจุบัน) ประวัติศาสตร์ระยะ 50 ปี
ที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในนครศรีธรรมราชก็คือภัยภิบัติ 3 ครั้ง
ตั้งแต่สงครามมหาเอเซียบูรพาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484, มหาวาตภัยแหลมตะลุมพุก
24-25 ตุลาคม พ.ศ. 2505 และมหาอุทกธรณีภัยเมืองนคร
22-24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531
No Response to “เมืองนครศรีธรรมราช เมืองแห่งการหยั่งรากพระพุทธศาสนา”
Leave a Reply